ประกาศมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับชำนาญงาน
และระดับชำนาญงานพิเศษ ของพนักงานมหาวิทยาลัย สายสนับสนุนวิชาการ พ.ศ. ๒๕๖๔
—————————–
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับชำนาญงานและระดับชำนาญงานพิเศษ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบกับข้อ ๒๐ ของข้อบังคับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลพนักงานมหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยข้อเสนอของคณะกรรมการบริหารบุคคลในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓ อธิการบดีจึงออกประกาศไว้ดังนี้
ข้อ ๑ ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการประเมินและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับชำนาญงานและระดับชำนาญงานพิเศษ ของพนักงานมหาวิทยาลัย
สายสนับสนุนวิชาการ พ.ศ. ๒๕๖๔”
ข้อ ๒ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ ๓ ในประกาศนี้
“มหาวิทยาลัย” หมายความว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“ส่วนงาน” หมายความว่า ส่วนงานตามข้อบังคับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ว่าด้วยการจัดตั้ง
และการแบ่งส่วนงานของมหาวิทยาลัย
“พนักงานมหาวิทยาลัย” หมายความว่า พนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนวิชาการ
“ผู้ขอรับการประเมิน” หมายความว่า พนักงานมหาวิทยาลัยผู้ขอรับการประเมินเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับชำนาญงานหรือระดับชำนาญงานพิเศษ
“ระดับชำนาญงาน” หมายความว่า ระดับตำแหน่งชำนาญงานของพนักงานมหาวิทยาลัย
ที่กำหนดไว้ตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่ง
“ระดับชำนาญงานพิเศษ” หมายความว่า ระดับตำแหน่งชำนาญงานพิเศษของพนักงานมหาวิทยาลัยที่กำหนดไว้ตามมาตรฐานกำหนดตำแหน่ง
“หัวหน้าส่วนงาน” หมายความว่า คณบดี ผู้อำนวยการสถาบัน ผู้อำนวยการสำนักงาน
หรือหัวหน้าส่วนงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าคณบดี หรือผู้อำนวยการสถาบันหรือผู้อำนวยการสำนักงาน และให้หมายความรวมถึงรองอธิการบดี
“ผลงาน” หมายความว่า ผลงานที่แสดงความเป็นผู้ชำนาญงานหรือผู้ชำนาญงานพิเศษ
“ผู้ทรงคุณวุฒิ” หมายความว่า ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับแต่งตั้งให้พิจารณาประเมินคุณภาพผลงานและตรวจสอบจริยธรรมและจรรยาบรรณในการสร้างสรรค์ผลงาน
หมวด ๑
คุณสมบัติของผู้ขอรับการประเมิน
ข้อ ๔ ผู้ขอรับการประเมินเข้าสู่ตำแหน่งระดับชำนาญงานต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(๑) ดำรงตำแหน่งระดับปฏิบัติงาน
(๒) มีระยะเวลาการปฏิบัติงานมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี
(๓) มีผลการประเมินการปฏิบัติงานประจำปีในรอบปีที่ผ่านมาได้ร้อยละเจ็ดสิบขึ้นไป
(๔) เป็นผู้มีจริยธรรมและจรรยาบรรณในการปฏิบัติงานเหมาะสม
ข้อ ๕ ผู้ขอรับการประเมินเข้าสู่ตำแหน่งระดับชำนาญงานพิเศษต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(๑) ดำรงตำแหน่งระดับชำนาญงาน
(๒) มีระยะเวลาการดำรงตำแหน่งชำนาญงานมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี
(๓) มีผลการประเมินการปฏิบัติงานประจำปีในรอบปีที่ผ่านมาได้ร้อยละเจ็ดสิบห้าขึ้นไป
(๔) เป็นผู้มีจริยธรรมและจรรยาบรรณในการปฏิบัติงานเหมาะสม
ข้อ ๖ พนักงานมหาวิทยาลัยที่เปลี่ยนตำแหน่งต้องปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ประสงค์จะขอรับ
การประเมินไม่น้อยกว่าหนึ่งปี เว้นแต่กรณีดังนี้
(๑) เป็นการเปลี่ยนตำแหน่งไปปฏิบัติงานในตำแหน่งที่มีมาตรฐานกำหนดตำแหน่งหน้าที่
และลักษณะงานที่สอดคล้องกัน
(๒) ได้ปฏิบัติงานที่มีลักษณะงานตรงหรืออยู่ในกลุ่มตำแหน่งเดียวกับตำแหน่งที่ประสงค์จะขอรับการประเมินไม่น้อยกว่าร้อยละหกสิบ
ข้อ ๗ พนักงานมหาวิทยาลัยที่ได้รับอนุมัติให้ลาศึกษา ฝึกอบรม หรือปฏิบัติการวิจัย ไม่มีสิทธิยื่นขอรับการประเมิน และมิให้นำระยะเวลาระหว่างการลาศึกษา ฝึกอบรม หรือปฏิบัติการวิจัยนั้นมานับเป็นระยะเวลาการปฏิบัติงานตามข้อ ๔ (๒) ข้อ ๕ (๒) และข้อ ๖
หมวด ๒
คุณสมบัติของผู้ขอรับการประเมิน
ส่วนที่ ๑
องค์ประกอบการประเมิน
ข้อ ๘ ในการประเมินความเหมาะสมของบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับชำนาญงาน
และระดับชำนาญงานพิเศษ ให้พิจารณาองค์ประกอบ ดังนี้
(๑) ความรู้ความสามารถและทักษะการทำงาน
(๒) สมรรถนะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่ง
(๓) ผลงาน
(๔) จริยธรรมและจรรยาบรรณในการปฏิบัติงาน
ส่วนที่ ๒
การประเมินความรู้ความสามารถ ทักษะการทำงาน
และสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่ง
ข้อ ๙ ในการประเมินความรู้ ความสามารถ ทักษะการทำงาน และสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่ง ให้พิจารณาองค์ประกอบ ดังนี้
(๑) ความรับผิดชอบต่อหน้าที่
(๒) ความคิดริเริ่มและสร้างสรรค์
(๓) ความเป็นผู้นำ
(๔) ทัศนคติและแรงจูงใจ
(๕) อุปนิสัยและความประพฤติ
ส่วนที่ ๓
ผลงาน
ข้อ ๑๐ ผู้ขอรับการประเมินระดับชำนาญงาน ต้องเสนอผลงานประกอบการประเมินอย่างน้อยจำนวนหนึ่งรายการ ได้แก่ เอกสารแสดงวิธีการปฏิบัติงานหลัก คู่มือ ผลงานเชิงวิเคราะห์ ผลงานเชิงสังเคราะห์ งานวิจัย หรือผลงานในลักษณะอื่น ที่แสดงความเป็นผู้ชำนาญงานในตำแหน่งหน้าที่ของผู้ขอรับการประเมิน
ข้อ ๑๑ ผู้ขอรับการประเมินระดับชำนาญงานพิเศษ ต้องเสนอผลงาน จำนวนสองรายการจากผลงาน ดังนี้
(๑) เอกสารแสดงวิธีการปฏิบัติงานหลักหรือคู่มือ จำนวนหนึ่งรายการ และ
(๒) ผลงานเชิงวิเคราะห์ ผลงานเชิงสังเคราะห์ งานวิจัย หนังสือ เอกสาร สิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม การออกแบบ ผลงานศิลปะ หรืองานสร้างสรรค์อื่น ที่แสดงถึงความเป็นผู้ชำนาญงานพิเศษในตำแหน่งหน้าที่ของ
ผู้ขอรับการประเมิน
ข้อ ๑๒ เอกสารแสดงวิธีการปฏิบัติงานหลัก อย่างน้อยต้องประกอบด้วย
(๑) หลักการสำคัญหรือวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติงาน
(๒) กระบวนการและขั้นตอนการปฏิบัติงานตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดกระบวนการ
(๓) รายละเอียดของแต่ละกระบวนการปฏิบัติงาน
(๔) สาระสำคัญของกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ หรือแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ
การปฏิบัติงาน
(๕) ปัญหา อุปสรรค ตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหา และข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาปรับปรุง
การทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อ ๑๓ ผลงานเชิงวิเคราะห์ต้องเป็นผลงานที่จัดทำขึ้นโดยมีสาระสำคัญที่แสดงแยกแยะองค์ประกอบต่าง ๆ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์กันขององค์ประกอบต่าง ๆ นั้นอย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ต่องานตามภารกิจของมหาวิทยาลัยหรือส่วนงาน
ผลงานเชิงสังเคราะห์ต้องเป็นผลงานที่แสดงการรวบรวมเนื้อหาสาระต่าง ๆ หรือองค์ประกอบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน โดยต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างรูปแบบหรือโครงสร้างเบื้องต้นเพื่อให้เกิดแนวทางหรือเทคนิควิธีการใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่องานในภารกิจของมหาวิทยาลัยหรือส่วนงาน
งานวิจัยต้องมีลักษณะเป็นผลงานศึกษาหรืองานค้นคว้าอย่างมีระบบด้วยวิธีวิทยาการวิจัยที่เป็นที่ยอมรับและมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล คำตอบ หรือผลสรุปรวมที่เป็นประโยชน์และนำไปสู่
การปรับปรุงพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาในงานตามภารกิจของมหาวิทยาลัยหรือส่วนงาน
ผลงานในลักษณะอื่นตามข้อ ๑๐ และข้อ ๑๑ อาจเป็นผลงานที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ การออกแบบ นวัตกรรม กรรมวิธี ผลงานศิลปะ งานสร้างสรรค์ หรือผลงานที่เป็นประโยชน์ต่องานตามภารกิจของมหาวิทยาลัยหรือส่วนงาน แต่ทั้งนี้ ต้องเป็นผลงานที่ผ่านการพิสูจน์หรือมีหลักฐานที่แสดงถึงคุณค่าของผลงานประกอบด้วย
ข้อ ๑๔ ผลงานของผู้ขอรับการประเมินต้องมีลักษณะ ดังนี้
(๑) มีความถูกต้อง และทันสมัยในเวลาที่ทำผลงาน
(๒) เป็นประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยหรือส่วนงาน
(๓) มีสัดส่วนการทำผลงานไม่น้อยกว่าร้อยละเจ็ดสิบห้า
(๔) ไม่เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาและการฝึกอบรมของผู้ขอรับการประเมิน
(๕) ในกรณีที่มีการอ้างอิงผลงานของผู้อื่นหรือของตนเอง หรือประมวลความคิดของผู้อื่นมาไว้ในผลงานของตนเองต้องระบุอ้างอิงแหล่งที่มาให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์การอ้างอิงที่เป็นหลักสากล และต้องใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบเดียวกันตลอดทั้งเรื่องหรือทั้งเล่ม
ส่วนที่ ๔
จริยธรรมและจรรยาบรรณในการสร้างสรรค์ผลงาน
ข้อ ๑๕ ในการสร้างสรรค์ผลงานของผู้ขอรับการประเมิน ให้พิจารณาดังนี้
(๑) ผู้ขอรับการประเมินต้องมีความซื่อสัตย์ ไม่คัดลอกผลงานของผู้อื่น รวมทั้งไม่นำผลงานของตนเองในเรื่องเดียวกันไปเผยแพร่ในวารสารวิชาการหรือวิชาชีพมากกว่าหนึ่งฉบับในลักษณะทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นผลงานใหม่
(๒) ผู้ขอรับการประเมินต้องให้เกียรติและอ้างถึงบุคคล หรือแหล่งที่มาของข้อมูลที่นำมาใช้ในผลงานวิชาชีพของตนเองและแสดงหลักฐานของการค้นคว้า
(๓) ผู้ขอรับการประเมินต้องไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางวิชาชีพจนละเลย หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นและสิทธิมนุษยชน
(๔) ผู้ขอรับการประเมินต้องเป็นผลงานที่ได้มาจากการศึกษาโดยหลักวิชาชีพเป็นเกณฑ์ ไม่มีอคติมาเกี่ยวข้อง เสนอผลงานตามความเป็นจริง ไม่จงใจเบี่ยงเบนผลการศึกษา วิเคราะห์ สังเคราะห์ หรือวิจัยโดยหวังผลประโยชน์ส่วนตัวหรือต้องการสร้างความเสียหายแก่ผู้อื่น และไม่ขยายข้อค้นพบโดยปราศจากการตรวจสอบยืนยันในทางวิชาชีพ
(๕) ผู้ขอรับการประเมินต้องนำผลงานไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบด้วยกฎหมาย
(๖) ในกรณีที่ตรวจสอบแล้วพบว่าผลงานที่เสนอขอรับการประเมินเข้าสู่ตำแหน่งสูงขึ้น
มีการละเมิดจริยธรรมและจรรยาบรรณในการสร้างสรรค์ผลงาน ให้คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงาน หรือคณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษ ดำเนินการพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เสร็จสิ้นก่อน จึงจะสามารถดำเนินการพิจารณาในส่วนอื่นได้ต่อไป
หมวด ๓
คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานและผู้ทรงคุณวุฒิ
ส่วนที่ ๑
คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงาน
ข้อ ๑๖ ให้มีคณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงาน ประกอบด้วย
(๑) หัวหน้าส่วนงานที่ผู้ขอรับการประเมินสังกัดอยู่ เป็นประธานกรรมการ
(๒) พนักงานมหาวิทยาลัยที่มีระดับตำแหน่งชำนาญงานขึ้นไปหรือเทียบเท่าจำนวนไม่น้อยกว่า
สองคนแต่ไม่เกินสามคน เป็นกรรมการ
(๓) ผู้อำนวยการกอง เลขานุการส่วนงาน หรือตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า
เป็นกรรมการและเลขานุการ
ในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นทำให้ไม่อาจแต่งตั้งคณะกรรมการที่มีองค์ประกอบตามวรรคหนึ่งได้ ให้หัวหน้าส่วนงานชี้แจ้งเหตุผลความจำเป็นต่ออธิการบดีเพื่อพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการที่มีองค์ประกอบแตกต่างจากองค์ประกอบตามวรรคหนึ่งก็ได้
ข้อ ๑๗ ให้คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงาน มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
(๑) พิจารณาตรวจสอบและกลั่นกรองคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถ ทักษะการทำงาน
และสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่ง และจริยธรรมและจรรยาบรรณในการปฏิบัติงานของผู้ขอรับการประเมิน
(๒) พิจารณากลั่นกรอง ประเมินคุณภาพเอกสาร และผลงานของผู้ขอรับการประเมิน
(๓) พิจารณาแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินผลงานและตรวจสอบจริยธรมและจรรยาบรรณในการสร้างสรรค์ผลงานของผู้ขอรับการประเมิน
(๔) ดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงาน
ส่วนที่ ๒
ผู้ทรงคุณวุฒิ
ข้อ ๑๘ ผู้ทรงคุณวุฒิประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยจำนวนสามคน โดยต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้
(๑) ดำรงตำแหน่งระดับชำนาญงานหรือชำนาญการขึ้นไป
(๒) เป็นผู้มีความรู้ ความชำนาญ หรือมีประสบการณ์การทำงานในเรื่องที่ตรงหรือใกล้เคียง
กับผลงานของผู้ขอรับการประเมิน
(๓) ไม่อยู่ในสังกัดของส่วนงานเดียวกันกับผู้ขอรับการประเมิน
หากไม่มีผู้ทรงคุณวุฒิภายในมหาวิทยาลัยที่สามารถประเมินผลงานได้ ให้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกมหาวิทยาลัยได้ โดยต้องมีคุณสมบัติเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งระดับชำนาญงานหรือชำนาญการขึ้นไป และเป็นผู้มีความรู้ ความชำนาญ หรือมีประสบการณ์การทำงานในเรื่องที่ตรงหรือใกล้เคียงกับผลงานของผู้ขอรับการประเมิน
ในกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิที่มีองค์ประกอบตามวรรคหนึ่งหรือตามวรรคสองได้
ให้คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานเสนอชื่อคณาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยหรือผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ หรือมีประสบการณ์ในเรื่องที่ตรงหรือใกล้เคียงกับผลงานของผู้ขอรับการประเมิน
ข้อ ๑๙ ให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาประเมินคุณภาพผลงานและตรวจสอบการเป็นผู้มีจริยธรรม
และจรรยาบรรณในการสร้างสรรค์ผลงานเหมาะสมของผู้ขอรับการประเมิน
หมวด ๔
คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษและผู้ทรงคุณวุฒิ
ส่วนที่ ๑
คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษ
ข้อ ๒๐ ให้มีคณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษ ประกอบด้วย
(๑) รองอธิการบดีที่รับผิดชอบงานด้านทรัพยากรมนุษย์ เป็นประธานกรรมการ
(๒) ผู้ช่วยอธิการบดีที่อธิการบดีมอบหมาย เป็นรองประธานกรรมการ
(๓) กรรมการที่อธิการบดีแต่งตั้งจากพนักงานมหาวิทยาลัยที่ดำรงตำแหน่งระดับชำนาญงานพิเศษหรือชำนาญการพิเศษขึ้นไปจำนวนสี่คน
ให้ผู้อำนวยการกองทรัพยากรมนุษย์เป็นเลขานุการและหัวหน้างานของกองทรัพยากรมนุษย์
คนหนึ่ง เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
ให้กรรมการตาม (๓) มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสองปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้
ในกรณีที่กรรมการในคณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษว่างลงและยังมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่าง ให้คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษประกอบด้วยกรรมการเท่าที่มีอยู่
ข้อ ๒๑ ให้คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษ มีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
(๑) พิจารณาตรวจสอบความรู้ความสามารถ ทักษะการทำงาน และสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่ง
(๒) พิจารณาตรวจสอบผลงานของผู้ขอรับการประเมินที่ผ่านความเห็นชอบจากส่วนงาน
(๓) พิจารณาตรวจสอบการเป็นผู้มีจริยธรรมและจรรยาบรรณในการปฏิบัติงานของผู้ขอรับ
การประเมินที่ผ่านความเห็นชอบจากส่วนงาน
(๔) พิจารณาแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินผลงาน
(๕) ดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษ
ข้อ ๒๒ คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษระดับส่วนงาน ประกอบด้วย
(๑) หัวหน้าส่วนงานที่ผู้ขอรับการประเมินสังกัดอยู่ เป็นประธานกรรมการ
(๒) พนักงานมหาวิทยาลัยที่มีระดับตำแหน่งชำนาญงานพิเศษหรือเทียบเท่าขึ้นไปจำนวนไม่น้อยกว่าสองคนแต่ไม่เกินสามคน เป็นกรรมการ
(๓) ผู้อำนวยการกองหรือที่มีฐานะเทียบเท่า หรือเลขานุการสำนักงานเลขานุการส่วนงาน
เป็นกรรมการและเลขานุการ
ในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นทำให้ไม่อาจแต่งตั้งคณะกรรมการที่มีองค์ประกอบตามวรรคหนึ่งได้ ให้หัวหน้าส่วนงานชี้แจงเหตุผลความจำเป็นต่ออธิการบดีเพื่อพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการที่มีองค์ประกอบแตกต่างจากองค์ประกอบตามวรรคหนึ่งก็ได้
ข้อ ๒๓ ให้คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษระดับส่วนงาน มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินการ ดังนี้
(๑) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับการประเมิน
(๒) ประเมินความรู้ความสามารถ ทักษะการทำงาน และสมรรถนะประจำตำแหน่งของผู้ขอรับการประเมิน
(๓) กลั่นกรองผลงานของผู้ขอรับการประเมิน โดยมีอำนาจให้ผู้ขอรับการประเมินทำการปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มเติมเนื้อหาของผลงานให้ถูกต้องครบถ้วนหรือมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นก็ได้ ทั้งนี้คณะกรรมการอาจกำหนดเวลาการแก้ไขปรับปรุงหรือเพิ่มเติมนั้นด้วยก็ได้
(๔) ตรวจสอบและประเมินการเป็นผู้มีจริยธรรมและจรรยาบรรณในการปฏิบัติงานของผู้ขอรับการประเมิน
ส่วนที่ ๒
ผู้ทรงคุณวุฒิ
ข้อ ๒๔ ให้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินผลงาน ดังนี้
(๑) กรรมการที่แต่งตั้งจากบุคคลภายนอกมหาวิทยาลัย จำนวนสองคน
(๒) กรรมการที่แต่งตั้งจากผู้ปฏิบัติงานภายในมหาวิทยาลัย แต่ไม่อยู่ในสังกัดของส่วนงานเดียวกันกับผู้ขอรับการประเมิน จำนวนหนึ่งคน
ข้อ ๒๕ ผู้ทรงคุณวุฒิต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(๑) เป็นผู้มีความรู้ความสามารถเกี่ยวข้องกับตำแหน่งในด้านเดียวกับตำแหน่งของผู้ขอรับ
การประเมิน
(๒) เป็นผู้ปฏิบัติงานในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐอื่นหรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งดำรงตำแหน่ง
ไม่ต่ำกว่าระดับชำนาญงานพิเศษหรือเทียบเท่า
ข้อ ๒๖ ให้ผู้ทรงคุณวุฒิมีหน้าที่พิจารณาประเมินคุณภาพผลงานของผู้ขอรับการประเมิน
และดำเนินการตรวจสอบการเป็นผู้มีจริยธรรมและจรรยาบรรณในการสร้างสรรค์ผลงานเหมาะสมของผู้ขอรับ
การประเมิน
หมวด ๕
คะแนนการประเมินและเกณฑ์การตัดสิน
ข้อ ๒๗ การให้คะแนนการประเมินความรู้ความสามารถและทักษะการทำงานและการประเมินคุณภาพผลงานให้มีคะแนนเต็มเท่ากับห้าคะแนน
ข้อ ๒๘ พนักงานมหาวิทยาลัยที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับชำนาญงานต้องได้คะแนนและผลการประเมิน ดังนี้
(๑) ต้องได้คะแนนการประเมินความรู้ความสามารถและทักษะการทำงานไม่น้อยกว่าระดับสามในทุกองค์ประกอบ
(๒) ต้องได้คะแนนประเมินสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งในระดับไม่ต่ำกว่าที่
คณะกรรมการบริหารบุคคลกำหนด
(๓) ต้องได้คะแนนการประเมินผลงานในระดับสามขึ้นไปจากผู้ทรงคุณวุฒิไม่น้อยกว่าสองคนในสามคน
(๔) มีผลการประเมินจริยธรรมและจรรยาบรรณในการปฏิบัติงานอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
ข้อ ๒๙ พนักงานมหาวิทยาลัยที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับชำนาญงานพิเศษ
ต้องได้คะแนนและผลการประเมิน ดังนี้
(๑) ต้องได้คะแนนการประเมินความรู้ความสามารถและทักษะการทำงานไม่น้อยกว่าสามจุดห้าคะแนนในทุกองค์ประกอบ
(๒) ต้องได้คะแนนประเมินสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับตำแหน่งในระดับไม่ต่ำกว่าที่
คณะกรรมการบริหารบุคคลกำหนด
(๓) ต้องได้คะแนนการประเมินผลงานในระดับสามจุดห้าขึ้นไปจากผู้ทรงคุณวุฒิไม่น้อยกว่า
สองคนในสามคน
(๔) มีผลการประเมินจริยธรรมและจรรยาบรรณในการปฏิบัติงานอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม
หมวด ๖
วิธีการและขั้นตอนการขอรับการประเมินระดับชำนาญงาน
ข้อ ๓๐ พนักงานมหาวิทยาลัยที่ประสงค์จะขอรับการประเมินเข้าสู่ตำแหน่งระดับชำนาญงาน
ให้ยื่นแบบขอรับการประเมินพร้อมผลงานผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อทราบและนำเสนอต่อหัวหน้าส่วนงานเพื่อพิจารณาดำเนินการ
เมื่อส่วนงานได้รับแบบขอรับการประเมินเข้าสู่ตำแหน่งพร้อมผลงานแล้ว ให้ประทับตรารับคำขอโดยระบุวันที่ เดือน และปีที่ได้รับคำขอให้ชัดเจน และให้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับการประเมิน และให้หัวหน้าส่วนงานแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งระดับชำนาญงาน เพื่อดำเนินการพิจารณาต่อไป แต่หากผู้ขอรับการประเมินไม่มีคุณสมบัติให้แจ้งผลการพิจารณาเป็นหนังสือให้ผู้ขอรับการประเมินทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแบบคำขอพร้อมผลงานครบถ้วน
ข้อ ๓๑ ให้คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานดำเนินการ ดังนี้
(๑) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับการประเมิน
(๒) ประเมินความรู้ความสามารถ ทักษะการทำงาน และสมรรถนะประจำตำแหน่งของผู้ขอรับการประเมิน
(๓) พิจารณากลั่นกรองผลงานของผู้ขอรับการประเมิน
(๔) ตรวจสอบการเป็นผู้มีจริยธรรมและจรรยาบรรณในการปฏิบัติงาน
ให้คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานดำเนินการตามวรรคหนึ่งให้แล้วเสร็จ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้ง เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็นอาจขยายเวลาได้อีกไม่เกิน
สิบห้าวัน
ข้อ ๓๒ คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานจะแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อประเมินคุณภาพผลงานของผู้ขอรับการประเมินได้ เมื่อปรากฏผลการตรวจสอบและผลการประเมิน ดังนี้
(๑) ผู้ขอรับการประเมินมีคุณสมบัติตามข้อ ๔
(๒) ผลงานของผู้ขอรับการประเมินมีคุณภาพ มีความถูกต้อง ทันสมัยในเวลาที่ทำผลงาน
และเป็นประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยหรือส่วนงาน
(๓) ผู้ขอรับการประเมินได้คะแนนการประเมินความรู้ ความสามารถ ทักษะการทำงาน
และสมรรถนะของตำแหน่งไม่น้อยกว่าสามคะแนนในทุกองค์ประกอบ
(๔) ผู้ขอรับการประเมินเป็นผู้มีจริยธรรมและจรรยาบรรณในการปฏิบัติงาน
คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานอาจขอให้ผู้ขอรับการประเมินดำเนินการแก้ไขปรับปรุงผลงานก็ได้ ทั้งนี้ ผู้ขอรับการประเมินต้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวัน
หากพ้นกำหนดดังกล่าวให้ถือว่าคำขอรับการประเมินครั้งนี้ตกไป
ข้อ ๓๓ ในกรณีที่ผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงาน
ไม่เป็นไปตามข้อ ๓๑ ให้ส่วนงานแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานเป็นหนังสือให้ผู้ขอรับการประเมินทราบภายในสิบห้าวัน
ข้อ ๓๔ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ให้ส่วนงานดำเนินการแจ้งคำสั่งและจัดส่งผลงานของผู้ขอรับการประเมินพร้อมกับชี้แจงหลักเกณฑ์การพิจารณาผลงานให้ผู้ทรงคุณวุฒิทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ
เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิดำเนินการประเมินผลงานและแจ้งผลการประเมินให้คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานทราบแล้ว หากผลการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิเป็นไปตามข้อ ๒๘ ให้ส่วนงานรายงานพร้อมจัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องเสนอกองทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำเสนออธิการบดีพิจารณา
และอนุมัติแต่งตั้งผู้ขอรับการประเมินให้ดำรงตำแหน่งชำนาญงานต่อไป
หากผลการพิจารณาของผู้ทรงคุณวุฒิไม่เป็นไปตามข้อ ๒๘ ให้ส่วนงานแจ้งผลการพิจารณาเป็นหนังสือให้ผู้ขอรับการประเมินทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิจารณาแล้วเสร็จ
หมวด ๗
วิธีการ และขั้นตอนการขอรับการประเมิน ระดับชำนาญงานพิเศษ
ส่วนที่ ๑
การดำเนินการของส่วนงาน
ข้อ ๓๕ พนักงานมหาวิทยาลัยที่ประสงค์จะขอรับการประเมินเข้าสู่ตำแหน่งระดับชำนาญงานพิเศษ ให้ยื่นแบบขอรับการประเมินพร้อมผลงานเพื่อทราบและนำเสนอต่อหัวหน้าส่วนงาน
ข้อ ๓๖ เมื่อส่วนงานได้รับแบบขอรับการประเมินพร้อมผลงานของผู้ขอรับการประเมินครบถ้วนแล้วให้ดำเนินการ ดังนี้
(๑) ให้ประทับตรารับคำขอโดยระบุวันที่ เดือน และปี ที่ได้รับคำขอให้ชัดเจน และให้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับการประเมิน หากผู้ขอรับการประเมินมีคุณสมบัติให้ส่วนงานแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษระดับส่วนงานเพื่อดำเนินการพิจารณาต่อไป แต่หากผู้ขอรับ
การประเมินไม่มีคุณสมบัติให้แจ้งผลการพิจารณาเป็นหนังสือให้ผู้ขอรับการประเมินทราบ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแบบคำขอพร้อมผลงานครบถ้วน
ข้อ ๓๗ เมื่อดำเนินการตามข้อ ๓๖ แล้ว ให้ส่วนงานส่งแบบขอรับการประเมินผลงานและผล
การพิจารณาส่งให้กองทรัพยากรมนุษย์ได้ ในกรณีดังนี้
(๑) ผู้ขอรับการประเมินมีคุณสมบัติครบตามข้อ ๕
(๒) ผู้ขอรับการประเมินมีผลงานครบถ้วนเป็นไปตามข้อ ๑๑ และมีคุณภาพดีพอที่จะส่งให้คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิประเมินผลงาน
(๓) ผู้ขอรับการประเมินมีผลการประเมินความรู้ ความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะประจำตำแหน่ง ไม่น้อยกว่าสามจุดห้าคะแนนในทุกองค์ประกอบ
(๔) ผู้ขอรับการประเมินเป็นผู้มีจริยธรรมและจรรยาบรรณในการปฏิบัติงาน
ข้อ ๓๘ ในกรณีที่ผลการพิจารณาของส่วนงานไม่เป็นไปตามข้อ ๓๗ ให้ส่วนงานดำเนินการแจ้งผลการพิจารณาพร้อมเหตุผลประกอบการพิจารณาเป็นหนังสือให้ผู้ขอรับการประเมินทราบภายในสิบห้าวันนับ
แต่วันที่คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษระดับส่วนงานพิจารณาแล้วเสร็จ
ข้อ ๓๙ เมื่อกองทรัพยากรมนุษย์ได้รับแบบขอรับการประเมินพร้อมผลงานของผู้ขอรับ
การประเมินและผลการพิจารณาของส่วนงานตามข้อ ๓๗ แล้วให้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษพิจารณาดำเนินการ ดังนี้
(๑) ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับการประเมิน
(๒) ตรวจสอบผลประเมินความรู้ความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะประจำตำแหน่งของผู้ขอรับการประเมินของส่วนงาน
(๓) ตรวจสอบจริยธรรมและจรรยาบรรณในการปฏิบัติงานของผู้ขอรับการประเมิน
(๔) พิจารณากลั่นกรองผลงานของผู้ขอรับการประเมิน
ส่วนที่ ๒
การดำเนินการของกองทรัพยากรมนุษย์
ข้อ ๔๐ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษ พิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ขอรับการประเมินมีคุณสมบัติตามข้อ ๕ และผลงานมีคุณภาพ ให้กองทรัพยากรมนุษย์แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ ๒๕ และให้กองทรัพยากรมนุษย์จัดส่งคำสั่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิและผลงานของผู้ขอรับการประเมินให้ผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อพิจารณาประเมินคุณภาพผลงานและความเป็นผู้มีจริยธรรมและจรรยาบรรณในการสร้างสรรค์ผลงานของ
ผู้ขอรับการประเมิน
ข้อ ๔๑ เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาประเมินคุณภาพผลงานและความเป็นผู้มีจริยธรรม
และจรรยาบรรณในการสร้างสรรค์ผลงานของผู้ขอรับการประเมินเสร็จแล้ว ให้คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษพิจารณาตรวจสอบผลการประเมินและให้พิจารณาดำเนินการ ดังนี้
(๑) ในกรณีที่ผู้ขอรับการประเมินมีผลการประเมินผลงานเป็นไปตามข้อ ๒๙ (๓) ให้นำเสนออธิการบดีเพื่อพิจารณาและอนุมัติแต่งตั้งผู้ขอรับการประเมินให้ดำรงตำแหน่งชำนาญงานพิเศษ
(๒) ในกรณีที่ผู้ขอรับการประเมินมีผลการประเมินไม่เป็นไปตามข้อ ๒๙ (๓) ให้แจ้งผล
การประเมินเป็นหนังสือให้ส่วนงานทราบและแจ้งผู้ขอรับการประเมินทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากกองทรัพยากรมนุษย์
หมวด ๘
การแต่งตั้ง
ข้อ ๔๒ การแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งชำนาญงาน ให้แต่งตั้งได้ตั้งแต่วันที่ส่วนงานได้รับแบบ
คำขอรับการประเมินและผลงานของผู้ขอรับการประเมิน เว้นแต่ในกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานหรือผู้ทรงคุณวุฒิขอให้ผู้ขอรับการประเมินแก้ไขปรับปรุงฉบับสมบูรณ์แล้ว ทั้งนี้ ผู้ขอรับ
การประเมินต้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวัน หากพ้นกำหนดดังกล่าวให้ถือว่าคำขอรับการประเมินครั้งนี้ตกไป
ข้อ ๔๓ การแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งชำนาญงานพิเศษ ให้แต่งตั้งได้ตั้งแต่วันที่กองทรัพยากรมนุษย์ได้รับแบบคำขอรับการประเมินและผลงานของผู้ขอรับการประเมิน เว้นแต่ในกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาการเข้าสู่ตำแหน่งชำนาญงานพิเศษหรือผู้ทรงคุณวุฒิขอให้ผู้ขอรับการประเมินแก้ไขปรับปรุงผลงานให้ถูกต้องครบถ้วน ให้แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งได้ตั้งแต่วันที่ผู้ขอรับการประเมินส่งผลงานที่แก้ไขปรับปรุงฉบับสมบูรณ์แล้ว ทั้งนี้ ผู้ขอรับการประเมินต้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้แล้วเสร็จภายในหกสิบวัน หากพ้นกำหนดดังกล่าวให้ถือว่าคำขอรับการประเมินครั้งนี้ตกไป
ประกาศ ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
(รองศาสตราจารย์ เกศินี วิฑูรชาติ)
อธิการบดี